top of page

SAT คิดคะแนนอย่างไร?


จะลงสอบ SAT รู้มั้ยว่า SAT คิดคะแนนอย่างไร?


เชื่อว่าหลายคนไม่รู้ และก็ปล่อยให้ตัวเอง ได้คะแนนมาแบบ งงๆ ได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น แต่เคยสงสัยมั้ยว่า เอ๊ะ! ทำไมคิดว่าทำผิดแค่ ข้อเดียว แต่คะแนนหายไปเยอะมากเลย หรือบางที ก็ได้คะแนนสูงกว่าที่ตัวเองคิดว่าจะทำได้ซะอีก? รู้มั้ยว่าคะแนนที่ได้มานั้น เค้าคิดอย่างไร? ตัวเลข 200-800 ที่ได้มา มาจากไหน?

SAT คะแนนเต็มเท่าไหร่?

SAT มี 2 วิชาคือ Reading and writing และ Math คะแนนเต็มแต่ละวาอยู่ที่ 800 สองวิชารวมกัน 1600 คะแนน คะแนนต่ำสุดของแต่ละวิชาคือ 200 นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะไม่ทำเลย ก็ได้คะแนน 200 มาฟรีๆ อยู่ดี!

คะแนนเหล่านี้ถูกเปลี่ยนมาจาก "raw score" พูดง่ายๆ ก็คือถูกเปลี่ยนมาจาก "จำนวนข้อที่เราทำถูก" นั่นเอง ข้อที่ผิด จะไม่ถูกหักคะแนน ส่วนข้อที่ไม่ได้ทำก็คือได้ 0 คะแนนนั่นเอง

เปลี่ยน raw score ให้กลายเป็นคะแนนเต็ม 800 ได้อย่างไร?

จะรู้ได้ยังไงว่าต้องทำให้ได้กี่ข้อ ถึงจะได้ MATH 700 ขึ้นไป? รู้ได้ไงว่าผิดแค่หนึ่งข้อจะเหลือ 790 หรือ 780?

สิ่งที่น้องๆ ต้องรู้คือระบบการเทียบคะแนนนั่นเอง SAT จะใช้ระบบการ "EQUATING SCORE" ที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าระดับความยากข้อสอบในแต่ละรอบ และระดับความสามารถของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ในรอบเดียวกัน จะไม่ส่งผลต่อคะแนนของน้องๆ นั่นเอง

ือธิบายง่ายๆ คือ คะแนนที่น้องได้นั้นจะเป็นตัวบ่งบอก ความสามารถของน้องจริงๆ โดยไม่สนใจว่า น้องจะสอบมาจากรอบใด ข้อสอบยากแค่ไหน หรือคนอื่นจะได้คะแนนเท่าไหร่

Equating score ไม่ใช่การคิดคะแนนแบบอิงกลุ่ม ไม่ได้นำคะแนนของน้องไปเปรียบเทียบกับผู้เข้าสอบอื่นๆ แต่ equating score คือการควบคุมว่าระดับความยากง่ายของข้อสอบแต่ละครั้งนั้น คะแนนที่ได้จะสามารถสะท้อนความสามารถของผู้เข้าสอบได้จริงๆนั่นเอง

ดังนั้น การคิดคะแนนของแต่ละรอบ จึงไม่เหมือนกันเลย!!! เราไม่มีทางหาวิธีคิดคะแนนได้แบบชัดเจน นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมทำ simulation test ได้คะแนนแบบนึง แต่พอเข้าสอบจริง ได้คะแนนมาไม่เหมือนกับที่เคยทำมานั่นเอง!

ยกตัวอย่างเช่น

น้องบางคน เคยทำข้อสอบ SAT MATH ชุดง่าย ทำผิดข้อเดียว แต่คะแนนหายไปแล้ว 20 เหลือ 780

สอบอีกที ครั้งนี้ยาก ทำผิดตั้งหลายข้อ แต่คะแนนได้ 780 เท่ากันเป๊ะเลย เป็นต้น!

เห็นอย่างนี้แล้ว น้องๆ พอจะเข้าใจ ระบบการคิดคะแนนของ SAT กันแล้วใช่มั้ยคะ? สอบครั้งหน้า จะวางแผนยังไงดี ให้ได้คะแนน SAT สูงที่สุด!!

SAT MATH คิดคะแนนยังไง?

SAT MATH คิดคะแนนไม่ยาก แค่รวมคะแนน raw score จากทั้งสองพาร์ท cal และ no cal เข้าด้วยกัน และเทียบกับตารางคะแนนในหนังสือ collegeboard ได้เลย อย่างไรก็ตาม จากที่ได้อธิบายไปข้างบน คะแนนแต่ละรอบนั้นไม่เท่ากัน แนะนำว่าให้เทียบคะแนนกับตารางคะแนนจากหลายๆ practice test เพื่อจะได้รู้ range คะแนนที่เป็นไปได้นั่นเอง

เช่น ได้ raw score รวม 2 พาร์ท เท่ากับ 30 เทียบจากสองตารางด้านล่าง แสดงว่า range คะแนนจะอยู่ที่ 530-580 นั่นเอง



SAT Reading and writing คิดคะแนนอย่างไร

1. เปลี่ยนคะแนน raw score จาก พาร์ท reading และ writing เป็น test score แบบ เต็ม 10-40 คะแนน

เช่น พาร์ท reading ได้ raw score = 30 เทียบเป็น test score จากตารางที่ 1 ได้ 27

พาร์ท writing ได้ raw score = 34 เทียบเป็น test score จากตารางคะแนนที่ 1 ได้ 32

2. นำ test score จากทั้งสองพาร์ทมารวมกัน แล้วนำคะแนนที่ได้ไปคูณ 10

เช่น 27+32 = 59

59 x 10 = 590

ดังนั้น น้องจึงได้คะแนน พาร์ท reading and writing = 590 นั่นเอง

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างบน เนื่องจากการคิดคะแนนของแต่ละรอบไม่เหมือนกัน จึงแนะนำให้เปรียบเทียบกับหลายๆ ตารางคะแนน จะได้ทราบ range คะแนนที่เป็นไปได้จริงของน้องๆ

แล้วจะวางแผนทำข้อสอบยังไงให้ได้คะแนนที่ตั้งเป้าไว้?

เช่น สมมติว่าอยากได้ Math 700 คะแนน ต้องทำยังไง? ลองเทียบตารางคะแนนหลายๆ ตารางดู

จากตารางคะแนนสองตารางด้านบน จะเห็นว่า การจะได้ MATH อยู่ที่ 700 นั้น ตารางแรกบอกว่าต้องทำถูก 43 ข้อ แต่ตารางที่สองบอกว่าต้องทำถูกถึง 50 ข้อ จากทั้งหมด 58 ข้อ!

ทีนี้ น้องก็น่าจะพอเดาได้ว่า ถ้าจะได้คะแนน MATH อยู่ที่ 700 ผิดได้ประมาณ 8 - 15 ข้อนั่นเอง!

ฉะนั้น ถ้าน้องเข้าไปในห้องสอบ แล้วเจอข้อสอบชุดที่ยากกว่าปกติ น้องอาจจะผิดได้เยอะหน่อย แต่ถ้าเจอชุดที่ง่ายกว่าปกติ อาจจะผิดได้น้อยหน่อย

ถ้าข้อสอบที่เจอมันยาก ผิดได้เยอะหน่อย เวลาเหลือน้อยแล้ว ไม่เป็นไร อาจจะเลือกทำเฉพาะข้อที่คิดว่าทำได้จริงๆ!! ทิ้งข้อนี้ไปเลยละกัน ทำข้อนั้นแทน !!

ถ้าข้อสอบที่เจอมันง่าย ผิดได้น้อย แต่เหลือเวลาน้อยแล้ว ตายๆ ต้องรีบทำให้หมด!!

 

รู้วิธีการคิดคะแนนของ SAT อย่างนี้แล้ว น้องๆสามารถนำไปวางแผนรวมกับ การบริหารเวลาในห้องสอบ ได้เลย จะทำให้น้องตัดสินใจ ในห้องสอบได้ดีขึ้นอีกเยอะ

ทำผิดได้กี่ข้อ? เวลาเหลือกี่นาที? ควรเร่งทำให้หมดดีมั้ย? หรือทำเฉพาะข้อที่คิดว่าจะได้คำตอบ? แล้วจะทิ้งข้อไหน จะทำข้อไหนดี?

เทคนิคเหล่านี้ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าเข้าใจ และปรับใช้ในห้องสอบได้ ก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งให้น้องคะแนนตามที่ตั้งใจไว้เหมือนกันนะคะ :)

 

Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
  • Line
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
bottom of page