top of page

เรียน ACT/ติว ACT Science : 7 tips เพิ่มคะแนน ACT Science ให้ได้ 30+

น้องๆ กำลังเจอปัญหากับข้อสอบ ACT Science ใช่มั้ย? คะแนน ACT Science ติดอยู่ในช่วง 14-24 รึเปล่า? ไม่ต้องกังวลเลยนะ เพราะน้องๆ หลายคนก็อยู่ในช่วงคะแนนนี้เหมือนกัน แต่น้องๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้วิธีที่ดีที่สุดที่จะหลุดจากช่วงคะแนนนี้และไปสู่ 30+ ใน ACT ได้


เรียน ACT Science
7 tips เพิ่มคะแนน ACT Science ให้ได้ 30+

.

ใน Blog นี้ พี่ๆ KPH จะมาอธิบายวิธีพัฒนาคะแนน ACT Science อย่างมีประสิทธิภาพ นำหลักการเหล่านี้ไปใช้ แล้วพี่ๆ มั่นใจว่าน้องๆ จะสามารถพัฒนาคะแนนของตัวเองได้แน่นอน


อย่าเพิ่งท้อไปนะ! คือมันเหมือนกับการสร้างบ้านนั่นแหละ เราต้องวางรากฐานที่มั่นคงก่อนจะเริ่มสร้างกำแพงและติดหน้าต่าง เช่นเดียวกัน น้องๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่ทำอยู่ และตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนจะเริ่มใช้กลยุทธ์และทิปส์ต่างๆ

.

ใน Blog นี้ พี่ๆ เน้นไปที่การได้คะแนน 30+ แต่ถ้าเป้าหมายของน้องๆ คือ 24 หรือต่ำกว่านั้น ทิปส์เหล่านี้ก็ยังสามารถช่วยให้น้องๆ พัฒนาคะแนนได้เหมือนกัน!


 

Know you can do it!

นี่ไม่ใช่ข้อความปลอบใจที่หาจากคุกกี้เสี่ยงทายนะ แต่พี่ๆ หมายถึงยังงั้นจริงๆ ว่าน้องๆ ทุกคนสามารถทำคะแนน ACT Science ให้ได้ถึง 30+ ได้ เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็คือพวกเขาไม่ได้พยายามมากพอ หรือไม่ก็ไม่ได้อ่านหนังสือในวิธีที่ถูกต้อง แม้ว่าน้องๆ จะไม่ใช่เด็กสายวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเคยได้เกรด B ในวิชาชีววิทยา แต่น้องๆ ก็ทำได้แน่นอน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คะแนน ACT science ของน้องๆ สะท้อนให้เห็นว่าตัวน้องๆ ทุ่มเทแค่ไหน และมีวิธีการเตรียมตัวอย่างมีกลยุทธ์หรือไม่


นี่คือเหตุผล: ACT เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างแปลก เวลาเราทำข้อสอบ เรามักจะรู้สึกว่าหลายๆ คำถามไม่เหมือนสิ่งที่เราเคยเจอในโรงเรียนเลย ใช่ไหม?


ข้อสอบนี้ถูกตั้งใจออกแบบมาแบบนั้น เพราะ ACT เป็นข้อสอบระดับประเทศ ซึ่งหมายความว่ามันต้องยุติธรรมสำหรับนักเรียนทุกคน ดังนั้นไม่ว่าน้องๆ จะได้เรียน basic science, advanced science, เรียน AP Physics, AP Bio วิชา, สายวิทย์อื่นๆ หรือไม่ก็ตาม มันไม่สำคัญ น้องๆ ไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน ข้อสอบ ACT จะไม่ทดสอบเรื่องที่ยากเกินไป เพราะมันจะไม่ fair สำหรับนักเรียนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนนั่นเอง


ดังนั้น ข้อสอบ ACT Science จะทดสอบสิ่งที่นักเรียนมัธยมทุกคนเคยเรียนมา เช่น การตีความกราฟข้อมูล, วิธีการทางวิทยาศาสตร์คืออะไร, และความเห็นทางทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่ตรงกัน นี่แหละคือ เคล็ดลับสำคัญ ของ ACT Science

 

สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้ 30+ ใน ACT Science

ถ้าน้องๆ ตั้งเป้าคะแนน 30+ ใน ACT Science พี่ๆ จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจว่าต้องทำยังไงบ้าง และต้องทำถูกกี่ข้อในข้อสอบจริง


ACT Science มีทั้งหมด 40 คำถาม และคะแนนสุดท้ายจะถูกแปลงเป็นคะแนนเต็ม 36 คะแนน ขึ้นอยู่กับว่าทำถูกกี่ข้อ

นี่คือตารางแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนน ACT Science:

คะแนนเต็ม (Scaled)

คะแนนดิบ (Raw)

36

40

35

39

34

38

33

37

32

36

31

35

30

34

ถ้าน้องๆ ตั้งเป้าอยากได้คะแนน ACT Science 30 คะแนนขึ้นไป น้องๆ ต้องทำให้ถูกประมาณ 34 ข้อ จาก 40 ข้อ ซึ่งก็เท่ากับต้องตอบถูกประมาณ 85% ของข้อสอบ


สิ่งที่น้องๆ ต้องรู้คือ น้องๆ สามารถเดาคำตอบบางข้อได้ เพราะคำถามทุกข้อมีตัวเลือกแค่ 4 ตัว ซึ่งการเดามีโอกาสถูกถึง 25%!


ตัวอย่าง: ถ้าน้องๆ ทำถูกแน่ๆ 30 ข้อ แล้วเดาอีก 10 ข้อ และเดาถูก 4 ข้อ น้องๆ ก็จะได้คะแนนดิบประมาณ 34 ซึ่งก็แปลเป็นคะแนนเต็มประมาณ 30!


 

7 tips เรียน ACT Science อย่างไร เพื่อเพิ่มคะแนนให้ได้ 30+

ทีนี้เราจะลงรายละเอียดและเคล็ดลับที่สามารถนำไปใช้ในการเตรียมตัวสอบเพื่อให้คะแนน ACT Science พุ่งไปถึงเป้าหมาย 30+ ถ้าพร้อมแล้ว เลื่อนไปดูเลย


Tip 1 : เรียน ACT Science ต้อง อย่าเสียเวลากับรายละเอียดที่ไม่จำเป็น

น้องๆ เคยเจอเหตุการณ์นี้ไหม? อ่านบทความในข้อสอบ ACT Science แล้วรู้สึกงงเพราะมีรายละเอียดเต็มไปหมด แถมยังดูเหมือนจะเข้าใจยากมากๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้น้องๆ เสียเวลาไปมาก และเพราะน้องๆ มีเวลาแค่ 35 นาทีในการทำ 7 บทความ 40 ข้อ การบริหารเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากใน ACT Science


นี่คือความจริง: บทความใน ACT Science เต็มไปด้วยรายละเอียดทางวิทยาศาสตร์ที่ ไม่จำเป็น สำหรับการตอบคำถาม น้องๆ ไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างเพื่อจะตอบให้ถูก ยิ่งเจอกราฟที่ซับซ้อนก็ยิ่งเป็นแบบนี้ น้องๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเพื่อทำข้อสอบได้


ACT ใส่รายละเอียดพวกนี้มาเพื่อทำให้น้องๆ สับสนและทำให้ข้อสอบยากขึ้น ซึ่งก็เพื่อให้ข้อสอบดูเหมือนงานวิจัยจริงๆ แต่ความจริงคือ น้องๆ ไม่ได้อ่านวารสารวิทยาศาสตร์ น้องๆ กำลังทำข้อสอบ ACT Science!


ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือ น้องๆ พยายามทำความเข้าใจบทความทั้งหมด อยากเข้าใจทุกๆ รายละเอียดในตารางหรือกราฟ แต่การพยายามเข้าใจทุกอย่างในบทความเป็นการ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะคำถามไม่ได้ถามเกี่ยวกับทุกส่วนของบทความจริงๆ


แล้วน้องๆ ควรทำยังไงแทน?

ให้ อ่านผ่านๆ และทำความเข้าใจบทความในภาพรวม ตอบคำถามแค่สองข้อ:

  1. บทความนี้พูดถึงเรื่องอะไรโดยรวม?

  2. รูปหรือกราฟแสดงอะไร?

แค่นั้นเอง! เวลาอ่านบทความ ACT Science พี่ๆ เองก็ไม่ได้เข้าใจรายละเอียดลึกซึ้งทั้งหมด พี่ๆ แค่เข้าใจภาพรวม แล้วก็ไปทำข้อสอบต่อ

 

Tip 2 : เรียน ACT Science ต้องเข้าใจว่า ACT Science ทดสอบอะไร

ACT Science เป็นส่วนที่มีโครงสร้างและคาดเดาได้มากที่สุดของข้อสอบ ACT พี่ๆ หมายถึงว่า ACT Science มีประเภทพารากราฟ 3 แบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีประเภทคำถามเฉพาะที่เกี่ยวข้อง นี่แตกต่างจาก ACT English ที่มีพารากราฟ 5 ชุด และแต่ละชุดก็มีคำถามแบบสุ่มหลากหลาย


ถ้าน้องๆ อยากทำคะแนนดีใน ACT science น้องๆ ต้องคาดการณ์คำถามและพารากราฟที่น้องๆ จะเจอในวันสอบให้ได้

ประเภทพารากราฟและคำถามที่เกี่ยวข้องมีดังนี้:

  • 3 Data Representation Passages: บรรยายเกี่ยวกับการศึกษา มักจะเต็มไปด้วยกราฟและตาราง

    • คำถามเกี่ยวกับการอ่านกราฟ (Read-the-Graph Questions)

    • การตีความแนวโน้ม (Interpreting Trends)

    • การคำนวณค่า (Calculating Values)

  • 3 Research Summaries Passages: บรรยายเกี่ยวกับการทดลองที่มีหลายขั้นตอน

    • การออกแบบการทดลอง (Experimental Design)

    • การเปลี่ยนแปลงการทดลองสมมุติ (Hypothetical Experimental Changes)

    • การตีความการทดลอง (Interpreting Experiments)

  • 1 Conflicting Viewpoints Passage: นักวิทยาศาสตร์สองคนหรือมากกว่านั้นไม่เห็นด้วยกัน

    • การเข้าใจมุมมอง (Understanding Viewpoints)

    • การเปรียบเทียบมุมมอง (Comparing Viewpoints)

 

Tip 3: เรียน ACT Science ต้องฝึกอ่านกราฟ

ทักษะที่สำคัญที่สุดในการทำ ACT Science คือการอ่านกราฟและตารางเก่งๆ น้องๆ จะเจอคำถามเกือบครึ่งหนึ่งของข้อสอบที่เกี่ยวกับการอ่านกราฟและทำความเข้าใจข้อมูลในนั้น


กราฟที่เจอบน ACT มักจะเกี่ยวกับเรื่องที่น้องๆ ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ชื่อหน่วยหรือรูปทรงของกราฟอาจจะดูแปลกๆ แต่น้องๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะกราฟมันดูแปลกสำหรับนักเรียนทุกคนทั่วประเทศเหมือนกัน


ACT จัดทำกราฟแบบนี้โดยจงใจ เพื่อไม่ให้นักเรียนที่มีความรู้วิทยาศาสตร์ล่วงหน้าได้เปรียบเยอะเกินไปในการสอบ เช่น ถ้า ACT ออกโจทย์จาก AP Physics คนก็จะโวยวาย เพราะมันจะไม่ยุติธรรมกับน้องๆ ที่โรงเรียนไม่มีวิชานั้น


แต่ถ้า ACT ออกกราฟเกี่ยวกับขนาดฟันของเสือเขี้ยวดาบล่ะก็ ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอยู่แล้ว มันเลยยุติธรรมสำหรับทุกคน


หากน้องๆ เคยรู้สึกหนักใจกับการอ่านกราฟมาก่อน ขอให้จดจำข้อนี้ไว้: ACT Science ถูกออกแบบมาให้ น้องๆ ทุกคนสามารถเข้าใจกราฟได้หมด หากน้องๆ มีทักษะการอ่านที่ถูกต้อง


แล้วเราจะอ่านกราฟยังไงดี?

มี 3 ขั้นตอนสำคัญที่น้องๆ ต้องทำเพื่อให้เข้าใจกกราฟทุกแบบ คือ:

  1. อ่านคร่าวๆ ที่เนื้อหาข้างต้น (introduction): มันจะบอกเราคร่าวๆ ว่า "Figure 2 เกี่ยวกับ X" ซึ่งเป็นตัวช่วยเริ่มต้นที่ดีมาก (แต่อย่าลงรายละเอียดมากเกินไปเหมือนที่พี่ๆ พูดไว้ใน Tip #1 นะ)

  2. ดูที่แกนกราฟ: แกน x แสดงอะไรบ้าง แล้วมันเปลี่ยนไปยังไงเมื่อเราเลื่อนจากซ้ายไปขวา? ส่วนแกน y ล่ะ แสดงอะไรบ้าง และเปลี่ยนยังไงเมื่อเราดูจากล่างขึ้นบน? ข้อนี้จะบอกเราว่ากราฟนี้จริงๆ แล้วแสดงข้อมูลอะไร

  3. เข้าใจรูปแบบทั่วไปของกราฟ: กราฟมันขึ้นหรือลงตรงไหนบ้าง? ถ้ามีหลายเส้น เส้นต่างๆ แสดงข้อมูลที่แตกต่างกันยังไง? ให้ดูแบบคร่าวๆ อย่าไปจำรายละเอียดทั้งหมด แค่พอเข้าใจว่ามันกำลังแสดงอะไร

 

Tip 4: เรียน ACT Science ต้องรู้จุดอ่อนของตัวเอง แล้วฝึกให้มากขึ้น

น้องๆ มีเวลาเตรียมสอบ ACT science อย่างจำกัดใช่ไหม? น้องๆ ต้องการคะแนนที่เพิ่มขึ้นให้ได้มากที่สุดในทุกๆ ชั่วโมงที่น้องๆ ใช้ในการอ่านหนังสือ และวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นคือ รู้จุดอ่อนของตัวเอง แล้วฝึกฝนจุดอ่อนนั้นให้มากจนสามารถแก้ไขได้ พอฟังแล้วก็ดูเหมือนง่ายใช่ไหม?


แต่ปัญหาคือ น้องๆ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงการพัฒนาจุดอ่อนของตัวเอง น้องๆ มักจะเสียเวลาฝึกในสิ่งที่ตัวเองเก่งอยู่แล้วโดยไม่มีการพัฒนาจริงๆ


แล้วทำไมการโฟกัสจุดอ่อนถึงเป็นเรื่องยาก? นี่คือเหตุผลบางประการ:

  1. การวิเคราะห์จุดอ่อนต้องใช้ความพยายามและความมีระเบียบ: น้องๆ ต้องแบ่งหมวดหมู่คำถามที่น้องๆ ฝึกทำในแต่ละทักษะ นับคะแนนว่าได้กี่ข้อที่ถูกในแต่ละทักษะ แล้วสรุปว่าสกิลไหนที่น้องๆ ต้องพัฒนามากที่สุด การทำแบบนี้ใช้เวลาพอสมควรและอาจดูเหนื่อย

  2. การทำสิ่งที่เราเก่งแล้วมันสนุกกว่า: ถ้าถามน้องๆ ว่าอยากกินไอศกรีมหรือกินกะหล่ำปลี? แน่นอนว่าส่วนใหญ่คงอยากเลือกไอศกรีมมากกว่า ในการเตรียมสอบ ACT science ก็เหมือนกัน การทำสิ่งที่น้องๆ ทำได้ดีแล้วจะทำให้รู้สึกดี ได้คะแนนดีๆ จากการทำแบบฝึกหัด อย่างไรก็ตาม การทำแบบนี้อาจให้ความมั่นใจผิดๆ กับน้องๆ เพราะน้องๆ กำลังละเลยจุดอ่อนที่ทำให้คะแนนตกอยู่ พี่ๆ อยากให้น้องๆ ลอง “กินกะหล่ำปลี” คือทำงานกับจุดอ่อนของตัวเอง ซึ่งอาจใช้พลังงานทางจิตใจมากขึ้นและไม่สนุกเพราะเรามักจะทำพลาดบ่อยๆ แต่มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้น้องๆ เก่งขึ้น

  3. ถึงรู้จุดอ่อน แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าต้องพัฒนายังไง: สมมุติน้องๆ รู้ว่าตัวเองมีปัญหาในการแปลผลการทดลอง แล้วจะพัฒนายังไง? จะฝึกทำโจทย์เยอะๆ หรอ? แล้วจะเลือกทำโจทย์ไหน? หรือจะสอนตัวเองให้พัฒนาทักษะยังไง?

ทางแก้คือต้องลองฝึกในจุดที่อ่อนบ่อยๆ ค้นหาคำถามหรือแบบฝึกหัดที่ตรงกับจุดอ่อนของตัวเอง แล้วพยายามแก้ไขด้วยการฝึกฝนบ่อยๆ


นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนในการหาจุดอ่อนของตัวเอง:

  1. แยกหมวดหมู่คำถามทุกข้อที่น้องๆ ทำ: ในทุกๆ แบบฝึกหัดหรือข้อสอบที่น้องๆ ทำ ลองแยกคำถามตามทักษะ

  2. บันทึกจำนวนคำถามที่ถูกและผิดในแต่ละทักษะ: น้องๆ สามารถใช้สมุดโน้ตหรือโปรแกรมสเปรดชีตอย่าง Microsoft Excel หรือ Google Sheets เพื่อจดบันทึกว่าทักษะไหนที่น้องๆ ทำได้ถูกหรือผิดบ่อยที่สุด

  3. หาทักษะที่พลาดบ่อยที่สุด: ไม่ใช่แค่มองที่เปอร์เซ็นต์คำตอบที่ถูก แต่มองว่าการเก่งขึ้นในทักษะนั้นจะทำให้น้องๆ ได้คะแนนเพิ่มมากที่สุดเท่าไหร่ เช่น ถ้ามีทักษะที่เจอแค่ 1 ครั้งในทุกๆ ข้อสอบ ถึงน้องๆ ทำผิดทุกครั้งก็ไม่ได้ทำให้คะแนนน้องๆ ลดลงมาก แต่ถ้ามีทักษะที่ปรากฏ 10 ครั้งต่อข้อสอบ แล้วน้องๆ ทำได้เพียง 50% ของคำถาม นี่แหละคือทักษะที่ควรเน้นฝึก

  4. หา material ที่ดีที่สุดในการฝึกจุดอ่อนของน้องๆ: น้องๆ ต้องหาวิธี 1) เรียนรู้ทักษะพื้นฐานในจุดอ่อนนั้น 2) หาคำถามหรือแบบฝึกหัดที่ตรงกับจุดอ่อนของตัวเองเพื่อฝึกบ่อยๆ แม้ว่าอาจจะหาหนังสือ ACT Science ที่ดีๆ ได้ยาก แต่การฝึกด้วยวิธีนี้คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด


ฟังดูเยอะใช่ไหม? มันอาจจะเป็นงานที่ยาก แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการพัฒนาคะแนนของน้องๆ น้องๆ ส่วนใหญ่ไม่ทุ่มเทเวลามากพอในการวิเคราะห์ตัวเองแบบนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมคะแนนถึงไม่ค่อยพัฒนา

 

Tip 5: เรียน ACT Science ต้องใช้เฉพาะ material/resource ฝึกที่มีคุณภาพสูงเท่านั้น

ACT Science เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างแปลก น้องๆ จะได้เจอกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนหรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบที่ง่ายขึ้นเพื่อให้นักเรียนมัธยมปลายทำได้ และคำถามที่ถามก็จะเน้นไปที่การใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก


ซึ่งสิ่งนี้หมายความว่า นักเขียนหนังสือเตรียมสอบ ACT มีโอกาสพลาดได้ง่ายมากในการเขียน Mock Test เนื่องจากข้อสอบ ACT Science มีโครงสร้างที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง


ทำไมถึงหา material ฝึก ACT Science ที่ดีได้ยาก

ต่างจากข้อสอบ ACT ส่วนอื่นๆ อย่าง Reading หรือ Math, ACT Science มีหนังสือเตรียมสอบให้เลือกน้อยมาก ที่น่าเศร้าก็คือ พี่ๆ ไม่สามารถแนะนำหนังสือ ACT Science ที่ตีพิมพ์มาได้เลย เพราะหลายๆ เล่มที่พี่ๆ เคยเจอนั้นคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ทุกเล่มมักจะมีปัญหาหนึ่งหรือหลายปัญหาดังนี้:

  1. เนื้อหาผิดพลาด: มีทั้งยากเกินไป ง่ายเกินไป สั้นเกินไป หรือเต็มไปด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ที่ไม่จำเป็น ข้อสอบ ACT Science ที่เป็นทางการมีความรู้สึกเฉพาะแบบ ซึ่งบางครั้งการเขียนข้อสอบเลียนแบบก็ไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้อง

  2. คำถามที่ผิดสไตล์: บางครั้งคำถามก็ไม่สอดคล้องกับวิธีการทดสอบการอ่านกราฟ หรือคำตอบหลอกลวง (bait answers) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ ACT Science ขาดหายไป

  3. ไม่สอนทักษะพื้นฐาน: หนังสือบางเล่มเต็มไปด้วยคำถามฝึกหัด แต่กลับไม่มีการสอนทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำข้อสอบ ซึ่งถ้ามีแค่หนังสือที่เต็มไปด้วยคำถามฝึกหัดก็ไม่พอ


นี่เป็นปัญหาใหญ่เพราะบางครั้งบริษัทที่เขียนหนังสือเตรียมสอบ ACT จ้างคนที่ไม่เข้าใจข้อสอบ ACT ดีพอ หรือจ้างนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้สูงเกินไป จนผลิตเนื้อหาที่ซับซ้อนเกินกว่าระดับของข้อสอบจริง

ดังนั้นน้องๆ ควรทำอะไร?

พี่ๆ แนะนำให้เลือกใช้ material ฝึกที่ตรงกับข้อสอบ ACT Science จริง เช่นข้อสอบจริงที่ออกมาก่อนหน้านี้


แล้วน้องๆ จะหา material ฝึกที่ดีได้จากที่ไหน?

แหล่งที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกทำข้อสอบ ACT Science ก็คือข้อสอบ ACT จริงที่เคยใช้สอบมาก่อน ซึ่งเป็นข้อสอบที่เคยออกให้นักเรียนทำจริงๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว


แต่ก็มีปัญหาบางอย่างกับการใช้ข้อสอบจริงเหล่านี้เช่นกัน เพราะข้อสอบจริงไม่ได้ถูกจัดเรียงตามทักษะ ดังนั้นการหาข้อสอบเพื่อฝึกทักษะเฉพาะ เช่น การตีความการทดลอง (Interpreting Experiments) หรือการเปรียบเทียบความคิดเห็น (Comparing Viewpoints) อาจทำได้ยาก


อีกอย่างคือ มีข้อสอบจริงค่อนข้างจำกัด แค่ประมาณ 10 ชุดเท่านั้น ซึ่งน้องๆ อาจจะอยากเก็บข้อสอบบางชุดไว้สำหรับวัดคะแนน ACT ที่แท้จริงของตัวเองในช่วงสุดท้ายของการเตรียมตัว


สุดท้ายคือ ข้อสอบจริงไม่มีบทเรียนหรือคำอธิบายที่สอนทักษะการอ่านกราฟหรือการเข้าใจเนื้อหาวิทยาศาสตร์ใน ACT มันเป็นเพียงข้อสอบให้ทำเท่านั้น


ถ้าน้องๆ ต้องการคำถามเสริมเพิ่มเติมเพื่อฝึก ACT Science พี่ๆ แนะนำคอร์ส ACT Science ของ KPH ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้คำถามคุณภาพสูงที่สุด เราแบ่งข้อสอบออกเป็นทักษะย่อยๆ ทุกอย่าง แยกทุกประเภทคำถามและคำตอบที่ผิดออกจากกัน และสร้างคำถามที่เหมาะสมที่สุด รับรองว่าคอร์สนี้ จะช่วยวิเคราะห์จุดอ่อนของน้องและแก้ไขได้อย่างตรงจุดแน่นอน

 

Tip 6: เรียน ACT Science ต้องจับเวลาในการทำแต่ละ passage และแต่ละคำถาม

เคยเป็นกันไหม? ทำข้อสอบ ACT Science แล้วรู้สึกว่าทำไม่ทันใน 35 นาที เลยต้องเดาข้อที่เหลือในตอนท้าย? ถ้าน้องๆ เป็นแบบนี้ นั่นก็เพราะ ACT Science มีเวลาที่ค่อนข้างจำกัด น้องๆ มีแค่ 35 นาทีสำหรับ 7 บทความและ 40 คำถาม แม้กระทั่งพี่ๆ เองที่ได้คะแนนเต็ม ACT Science ยังรู้สึกเลยว่าเวลาค่อนข้างจำกัด


ต่างจาก ACT Math คำถามใน ACT Science ไม่ได้เรียงตามความยากง่าย น้องๆ จึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคำถามไหนยากหรือง่าย ดังนั้นเราต้องเร่งมือทำให้ทันทั้งหมด


พี่ๆ เลยมีข้อแนะนำสองข้อ:

  1. อย่าใช้เวลาเกิน 1.5 นาทีในการอ่านบทความแต่ละ passage ซึ่งรวมแล้วจะใช้เวลาประมาณ 10.5 นาทีจาก 35 นาที จากคำแนะนำก่อนหน้านี้ น้องๆ ก็คงรู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องอ่านทุกอย่างในบทความเพื่อจะตอบคำถามได้

  2. อย่าใช้เวลาเกิน 30 วินาทีในการตอบแต่ละคำถาม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที ถ้าติดขัดกับคำถามไหนแล้วไม่รู้จะตอบยังไง ข้ามไปก่อนเลย! น้องๆ ไม่ควรใช้เวลาเกิน 90 วินาทีในคำถามเดียวเพราะมันทำให้น้องเสียเวลาที่ควรเอาไปใช้ตอบคำถามอื่นๆ

ถ้าน้องๆ ทำตามนี้ น่าจะเหลือเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อกลับไปดูคำถามยากๆ ที่ข้ามไว้ได้

ลองใช้ตัวจับเวลาในขณะที่น้องฝึกทำข้อสอบ การจับเวลาอ่านบทความภายใน 90 วินาทีผ่านไปเร็วมากกว่าที่คิด


 

Tip 7: เรียน ACT Science ต้องไม่ต้องกังวลเรื่องการท่องจำ outside knowledge

นี่คือทิปสุดท้ายของพี่ๆ นะ หลายคนน่าจะเคยลองอ่านโน้ตเก่าๆ จากวิชาชีวะ เคมี และฟิสิกส์มาเตรียมตัวสอบ ACT Science กันอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ ACT Science ไม่ใช่การทดสอบเนื้อหาวิทยาศาสตร์จริงๆ หรอก มันเป็นการทดสอบการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ โดยอ้างอิงข้อมูลใหม่ๆ ที่น้องๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน


นอกจากคำถามไม่กี่ข้อเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์วิทยาศาสตร์พื้นฐาน (อย่างเรื่องการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือลักษณะประจุไฟฟ้า) ส่วนใหญ่คำถามจะไม่ต้องการความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ เลย เช่น ในตัวอย่างเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ที่พี่พูดถึงใน Tip 3 น้องๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำว่าการสังเคราะห์ด้วยแสงคืออะไร ก็ยังตอบคำถามได้


ความรู้วิทยาศาสตร์ที่ ACT Science ต้องการนั้นไม่ยากเลย น้องๆ ส่วนใหญ่อาจจำได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังไม่จำ นี่คือเนื้อหาวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่น้องๆ จำเป็นต้องรู้สำหรับ ACT Science


ดังนั้น เก็บหนังสือเรียนและโน้ตจากมัธยมปลายลงก่อน เพราะมันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมสอบ ACT Science วิธีที่ดีที่สุดที่เราได้คุยกันมาตลอดในคำแนะนำเหล่านี้คือ:

  • เข้าใจว่า ACT Science ทดสอบอะไร

  • รู้วิธีการจัดการกับบทความของ ACT Science โดยไม่ลงลึกในรายละเอียดที่ไม่จำเป็น

  • เข้าใจจุดอ่อนของตัวเองและฝึกในจุดนั้นให้ดีขึ้น

  • ฝึกการจัดการเวลาเพื่อให้ทำคำถามได้ครบ

 

และนี่คือ 7 Tips เอาไว้อัพคะแนน ACT Science ให้ได้ 30+ พี่เชื่อว่า หากน้องๆ ทำตามที่พี่ๆ บอกไว้ใน blog นี้ ลงสอบ ACT Science ครั้งถัดไป คะแนนจะต้องตรงตามเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน


แต่หากน้องคนไหน ที่ยังไม่มั่นใจ ต้องการตัวช่วย มีคน guide วางแผนการเรียนที่เป็นระบบให้อยู่ข้างๆ ติดต่อ KPH มาได้เลย คอร์ส ACT Science ของ KPH ถูกออกแบบมาเพื่อให้น้องๆ เสริมพื้นฐานให้แน่น รู้จุดอ่อนของตัวเอง ผ่านการทำข้อสอบจริง material คุณภาพสูง และแก้ไขให้ตรงจุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


Line ID : @krupimhouse

Call: 064-954-7733


อ่านรายละเอียดคอร์ส ACT science เพิ่มเติมได้ที่ page นี้


Comentários


Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
  • Line
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter

CONTACT US 

☎️ : 064-954-7733

Line Official: @Krupimhouse

Facebook : NEW SAT Krupimhouse

Instagram : newsat_kph

X : @KRUPIMHOUSE_

KPH__LOGO_OFFICIAL2.png
bottom of page