top of page

เรียน SAT/ติว SAT READING: จะเจออะไรในข้อสอบ SAT READING บ้าง?(ฉบับเจาะลึก ละเอียดยิบ ทุกซอกทุกมุม!)

Updated: Jul 26, 2020

เป็นที่รู้กันดีว่าจะเรียน SAT / ติว SAT Reading นั้น เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะ SAT Reading ไม่ใช่แค่การอ่าน Passage ธรรมดาทั่วไป แต่มีหลายๆ อย่างที่น้องจะต้องเรียนรู้ และฝึกฝน มีคำถามหลายประเภทที่ค่อนข้างใหม่สำหรับน้องๆ blog นี้ พี่ๆ KPH จะพาน้องๆ ไปรู้จักข้อสอบ SAT Reading กันแบบทุกซอก ทุกมุม ละเอียดยิบ อ่านจบ Blog นี้น้องจะเข้าใจ และเห็นภาพข้อสอบ SAT Reading แบบกระจ่างเลยทีเดียว


เรียน SAT ติว SAT
เรียน SAT ติว SAT


รูปแบบของข้อสอบ SAT READING

ขั้นต้น มารู้จัก รูปแบบของข้อสอบ SAT Reading กันก่อน ข้อสอบ SAT Reading จะเป็น Section แรกจากทั้งหมด 4 Section เปิดข้อสอบมาจะเจอ SAT Reading ก่อนเป็นอับดับแรก ใช้เวลาทั้งหมด 65 นาที 52 คำถาม ทุกคำถามจะเป็นแบบ Multiple Choices ทั้งสิ้น มี 4 Choice ต่อคำถามหนึ่งข้อ ข้อสอบจะถูกแบ่งเป็น 4 passages โดยจะมี 1 passage ที่เป็น paired passage


แต่ละ Passage จะประกอบไปด้วยคำถาม จำนวน 10-12 คำถาม และจะมี 1-2 Passage ที่จะมี รูปภาพ (graph, chart, bar graph, scatter plot) โดยที่จะมีคำถามให้น้องๆ ตีความ จากรูปภาพที่ข้อสอบให้มา


โดยปกติแล้ว เราจะเดาไม่ค่อยออกมาว่า ข้อสอบ SAT Reading จะไปคัดเอา Article มาจากที่ไหนบ้าง แต่เราสามารถรู้จักประเภทของ Article ที่ SAT ชอบเอามาออกข้อสอบบ่อยๆ ได้ ในบรรดา 4 passage ทั้งหมดนั้น

  • 1 passage จะเกี่ยวกับ U.S หรือ World literature

  • 2 Passage จะเกี่ยวกับ History หรือ Social Science

  • 2 Passage จะเกี่ยวกับ Science


แต่ละ Passage หรือ Paired Passage จะมีความยาวประมาณ 500 ถึง 750 คำ ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน คือจะมีบาง passage ที่มีรูปภาพ กราฟ ให้เราวิเคราะห์ด้วย


ในส่วนของ Paired Passage คือจะเป็น Passage คู่ ที่เขียนถึงหัวข้อเดียวกัน แต่เขียนออกมาคนละมุมมอง จากผู้เขียนคนละคน คำถามที่อยู่ใน Paired Passage ส่วนใหญ่จะเป็นการ

  • ให้น้องๆ เปรียบเทียบ ความเหมือน และความแตกต่าง ของมุมมองจากผู้เขียน 2 คนนี้

  • ให้น้องๆ คิดว่า ผู้เขียนคนแรก คิดอย่างไรต่อมุมมองของผู้เขียนคนที่ 2 หรืออาจจะกลับกัน

 

8 Types of SAT Reading Questions

Collegeboard ไม่เคยพูดว่าจะแบ่งคำถาม SAT Reading ออกเป็นประเภทๆ แต่พี่ๆ KPH จะขอแบ่งเอง เพื่อให้น้องๆ เห็นภาพว่าจะเจอกับคำถามประเภทไหนบ้าง และเตรียมตัวเรียน SAT /ติว SAT Reading ได้อย่างถูกต้อง


Type 1 : Big Picture / Main Point

คำถามประเภทแรกที่น้องๆ จะได้เจอแน่นอน 100% คือการถามหา Big Picture / Main Point คือการถาม "หาภาพรวม (Overall)" ของ Passage ว่า โดยรวมแล้ว Passage กำลังพูดถึงอะไร

  • Passage กำลังพูดถึงอะไร

  • Passage กำลังอยากทำอะไรอยู่

  • Passage กำลังอยาก inform (ให้ข้อมูล), review, contradict, prove, parody, hypothesize หรือทำอะไรอยู่?

  • Passage ทำสิ่งเหล่านั้นไปเพื่ออะไร?

ด้านล่างคือตัวอย่างข้อสอบ SAT READING ที่ถามหา Main Point จาก Paired Passage ที่อยู่ในข้อสอบ College Board Official Practice Test 2


ตัวอย่าง

The main purpose of each passage is to

A) compare brain function in those who play games on the Internet and those who browse on it.

B) report on the problem-solving skills of individuals with varying levels of Internet experience.

C) take a position on increasing financial support for studies related to technology and intelligence.

D) make an argument about the effects of electronic media use on the brain.


Type 2: Little Picture/Detail

คำถามประเภทที่สอง จะถามเกี่ยวกับ Detail ย่อยๆ ที่อยู่บนบรรทัดใดบรรทัดหนึ่ง เจาะจงลงไปบนเนื้อหาของบรรทัดนั้นๆ น้องต้องมอง "ภาพเล็ก" ลงมา โดยทุกๆ 5 บรรทัด จะถูกเขียนกำกับตัวเลขไว้ให้ เวลาที่น้องๆ ถูกถามถึงบรรทัดไหน ก็ให้รีบกลับไปหาที่บรรทัดนั้นได้เลย คำถามประเภทนี้ อาจจะเกี่ยวกับ คำถาม Type 5: Function (หน้าที่การทำงานของ Lines หรือ Phrase) หรือ คำถาม Type 6: Author's technique (เทคนิควิธีการเล่าเรื่องของผู้เขียน)


ด้านล่างคือตัวอย่างข้อสอบ SAT READING ที่ถามหา Detail จาก Passage ในข้อสอบ College Board Official Practice test 2


ตัวอย่าง

Stanton uses the phrase “high carnival” (line 15) mainly to emphasize what she sees as the

A) utter domination of women by men.

B) freewheeling spirit of the age.

C) scandalous decline in moral values.

D) growing power of women in society.



Type 3 : inference

คำถามประเภทนี้คือ ต้องการให้น้อง “สรุป หรือ หาความหมาย” ของ Line หรือ paragraph หรือ Whole passage เลยก็ได้


ตัวอย่าง

It can reasonably be inferred that “the strong-minded” (line 32) was a term generally intended to


A) praise women who fight for their long-denied rights.

B) identify women who demonstrate intellectual skill.

C) criticize women who enter male-dominated professions.

D) condemn women who agitate for the vote for their sex.



Type 4 : Vocabulary in context

คำถามประเภทนี้ จะถามหาเกี่ยวกับ “คำศัพท์ทั่วไป แต่ถูกใช้ใน way แปลกๆ” ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำศัพท์ที่ไม่ได้ยากมาก เป็นคำศัพท์ที่เจอได้ทั่วไป แต่ในเนื้อหาของ passage อาจถูกแปลเป็นอย่างอื่น เป็นต้น หน้าที่ของน้องก็คือ ต้องกลับไปอ่าน บรรทัดนั้นใหม่อีกรอบ และวิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าใน context ตรงนั้น คำศัพท์ที่โจทย์ถามควรจะมีความหมายว่าอย่างไร ถึงจะเหมาะสมที่สุด


ตัวอย่าง

As used in line 36, “best” most nearly means


A) superior.

B) excellent.

C) genuine.

D) rarest.


Type 5 : function

คำถามประเภทนี้ จะคล้ายๆกับ Type ที่ 2 คือจะเกี่ยวกับ detail เป็นหลัก แต่ในคำถามประเภทนี้จะเน้น หน้าที่ การทำงานของคำ(words) หรือ วลี (phrase) โจทย์ต้องการรู้ว่า การใช้คำ หรือ วลี ที่อยู่ใน passage นั้น สร้างผล (effect) อะไรให้กับผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอย่างไร


ตัวอย่าง

The analogy in the final sentence of Passage 2 has primarily which effect?

A) It uses ornate language to illustrate a difficult concept.

B) It employs humor to soften a severe opinion of human behavior.

C) It alludes to the past to evoke a nostalgic response.

D) It criticizes the view of a particular group.


Type 6 : Author's Technique

นอกเหนือไปจาก การ focus ที่ตัว Passage แล้ว น้องยังต้องสังเกตุวิธีการเขียนของผู้เขียนอีกด้วย คำถามประเภทนี้จะถามหา "เทคนิค วิธีการ" ผู้เขียนมีวิธีการเล่าเรื่องอย่างไร เริ่มต้นจากอะไร ดำเนินเรื่องราวอย่างไร และไปจบลงที่ตรงไหน


นอกจากดูวิธีการเขียนแล้ว น้องยังต้องเข้าใจความรู้สึกของเค้าด้วย เหมือนเอาตัวเองไปใส่ในหัวของผู้เขียน พยายามทำความเข้าใจว่า มุมมองหรือจุดยืนผู้เขียนคืออะไร (Perspective) รู้สึกอย่างไร กำลังพุดด้วยน้ำเสียงแบบไหน(Tone/Voice) ทัศนคติ (Attitude) ของผู้เขียนต่อหัวข้อนั้นๆเป็นอย่างไรด้วย


ตัวอย่าง

During the course of the first paragraph, the narrator’s focus shifts from

A) recollection of past confidence to acknowledgment of present self-doubt.

B) reflection on his expectations of life as a tradesman to his desire for another job.

C) generalization about job dissatisfaction to the specifics of his own situation.

D) evaluation of factors making him unhappy to identification of alternatives.



Type 7 : Evidence Support

คำถามประเภทนี้ จะให้ Provide evidence for your answer หรือ หา Reason behind your answer คือ ให้หาหลักฐานว่าทำไมคำตอบจึงต้องเป็นแบบนั้น จะไม่ใช่คำถามที่มาเดี่ยวๆ แต่จะมาเป็นคู่เสมอ


เช่น ข้อ 1 เราตอบแบบนี้ ข้อ 2 จะถามต่อทันที ไหนละ หลักฐาน น้องไปเอาคำตอบของข้อก่อนหน้า มาจากบรรทัดไหน ให้น้องไปชี้เลขบรรทัดให้ดูเลยว่า คำตอบของข้อที่แล้ว มันมาจากบรรทัดนี้นี่แหละ



ตัวอย่าง

1. In the passage, the author anticipates which of the following objections to criticizing the ethics of free markets?

A) Smith’s association of free markets with ethical behavior still applies today. B) Free markets are the best way to generate high profits, so ethics are a secondary consideration. C) Free markets are ethical because they are made possible by devalued currency. D) Free markets are ethical because they enable individuals to make choices.

2. Which choice provides the best evidence for the answer to the previous question?

A) Lines 4-5 (“Some... ethical”) B) Lines 7-10 (“But... about”) C) Lines 21-22 (“Smith... outcome”) D) Lines 52-54 (“When... way”)


Type 8 : Data Interpretation

คำถามประเภทสุดท้าย คือ ให้วิเคราะห์กราฟ, chart, table ส่วนใหญ่แล้วตาราง หรือ กราฟ ที่ให้มานั้นจะเกี่ยวข้องกับ Passage ที่เราอ่านไป แต่อย่าพึ่งชะล่าใจ เพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เราต้องคิดให้ลึกลงไปอีก ว่า

  • ตาราง/กราฟ เกี่ยวข้อง Passage ยังไง

  • ตาราง/กราฟนี้มาช่วยสนับสนุนหรือขัดแย้งกับ ความคิด มุมมองของผู้เขียนหรือไม่

  • ตาราง/กราฟนี้มาช่วยสนับสนุนหรือขัดแย้งกับ ความคิด มุมมองใดของผู้เขียน

  • ผู้เขียน จะเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยกับข้อมูลใน ตาราง/กราฟ

  • ผู้เขียนจะ เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยกับข้อมูลใน ตาราง/กราฟ ด้วยเหตุผลอะไร


ตัวอย่าง

1. Which concept is supported by the passage and by the information in the graph?

A) Internal waves cause water of varying salinity to mix. B) Internal waves push denser water above layers of less dense water. C) Internal waves push bands of cold water above bands of warmer water. D) Internal waves do not rise to break the ocean’s surface.

2. How does the graph support the author’s point that internal waves affect ocean water dynamics?

A) It demonstrates that wave movement forces warmer water down to depths that typically are colder. B) It reveals the degree to which an internal wave affects the density of deep layers of cold water. C) It illustrates the change in surface temperature that takes place during an isolated series of deep waves. D) It shows that multiple waves rising near the surface of the ocean disrupt the flow of normal tides.


สิ่งที่น้องๆ จะถูก Test ในข้อสอบ SAT READING ไม่ใช่ "ความรู้" แต่จะเป็น "Skill" การอ่านต่างหาก น้องไม่จำเป็นต้องรู้ Background ของ Passage ไม่ต้องรู้ประวัติของผู้เขียน ไม่ต้องรู้เรื่องราวมาก่อน ถึงจะทำคะแนน SAT READING ได้ดี สิ่งที่ SAT READING จะทดสอบน้องจริงๆ คือ

  • ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ตีความ จับประเด็น การมองภาพใหญ่ (Main Point)

  • การเข้าใจคำศัพท์ที่อยู่ใน Context นั้นๆ (Words in Context)

  • การเรียบเรียงลำดับความคิด (Sequence/ Flow of Ideas)

  • การใช้เทคนิคในการเขียน (Author's Technique)

  • การเข้าใจจุดประสงค์ของผู้เขียน (Purpose)

 

เรียน SAT/ติว SAT READING ต้องท่อง VOCAB ชุดไหนบ้าง?


จากที่น้องๆ ได้ทราบกันไปแล้วว่า ข้อสอบ SAT READING ประกอบไปด้วยประเภทไหนบ้าง น้องๆ จะเห็นว่า การตอบคำถามแต่ละประเภทไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้อง analyze ค่อนข้างเยอะ แต่ก่อนที่น้องจะ วิเคราะห์ได้ ก็ต้องแปลให้ออกก่อน เพราะถ้าแปลไม่ออก ทุกอย่างคือจบ ดังนั้นการสะสม คำศัพท์ SAT เอาไว้ จะเป็นประโยชน์กับน้องมากๆ พี่ KPH แบ่ง คำศัพท์ SAT ที่น้องจำเป็นต้องรู้ ออกเป็นทั้งหมด 3 กลุ่มใหญ่ๆ


Language of the Test


ให้น้องๆ ลองย้อนขึ้นไปอ่าน ตัวอย่างคำถามของข้อสอบ SAT ด้านบน อีกครั้งนึง

  • The main purpose of each passage is to

  • Stanton uses the phrase “high carnival” (line 15) mainly to emphasize what she sees as

  • It can reasonably be inferred that “the strong-minded” (line 32) was a term generally intended to


น้องจะเห็นว่ามีคำศัพท์เฉพาะ อยู่กลุ่มนึง เช่นคำว่า Main Purpose, emphasize, infer และอื่นๆ อีกมากมาย คำศัพท์กลุ่มนี้ คือกลุ่มที่พี่เรียกว่า “Language of the Test” หรือ “ภาษาของ SAT”


Language of the Test หรือ ภาษาของ SAT คือ กลุ่มคำศัพท์ ที่จะอยู่บนคำถามของข้อสอบ SAT Reading เป็นคำศัพท์เฉพาะที่มีข้อสอบ SAT เท่านั้นที่ใช้ ออกข้อสอบตลอด และออกทุกครั้ง ถ้าน้องสามารถทำความเข้าใจคำศัพท์กลุ่มนี้ได้ น้องจะสามารถเข้าใจว่าคำถามแต่ละข้อต้องการอะไร น้องต้องทำอะไรต่อ และน้องต้องไปหาคำตอบที่จุดไหน ทิศทางในการทำข้อสอบ SAT Reading ชัดเจนมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว



Multiple-Meaning Words


น้องๆลองย้อนขึ้นไปอ่าน ตัวอย่างคำถาม Type 4 : Vocabulary in Context อีกครั้ง จะเห็นว่าโจทย์ประเภทนี้ จะถามเกี่ยวกับคำศัพท์ SAT ที่ไม่ได้ยากมาก แต่ถูกนำมาใช้ใน passage ในความหมายที่ต่างออกไปจากที่น้องเคยท่องมา หน้าที่ของน้องคือ ต้องกลับไปอ่านเนื้อหาใน passage อีกครั้ง และตีความว่า คำศัพท์ที่โจทย์ถามควรจะแปลว่าอย่างไร ใน context นั้นๆ


ปัญหาคือ น้องไม่รู้ว่า คำศัพท์ที่โจทย์ถามสามารถแปลเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรบ้าง

  • คำศัพท์บางคำ สามารถแปลได้มากกว่า 1 ความหมาย

  • คำศัพท์บางคำ แปลคนละอย่างกัน เมื่อทำหน้าที่ต่างกัน

คำศัพท์ SAT กลุ่มนี้ พี่เรียกว่า “Multiple-Meaning Words” หรือ “คำที่มีหลายความหมาย” ถ้าน้องสามารถ มีคำศัพท์กลุ่มนี้ไว้ในมือได้ การทำข้อสอบประเภท Type 4 : Vocabulary in Context ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป



Words to Capture Tone

คำถาม Type 6 : Author’s Technique ก็เป็นอีกประเภทที่สำคัญไม่แพ้กัน นอกจากน้องๆ ต้องเข้าใจเทคนิค วิธีการ style ของผู้เขียนแล้ว น้องยังต้องเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียนอีกด้วย ผู้เขียนมีความคิดมุมมองต่อหัวข้อนั้นอย่างไร (Perspective) ทัศนคติเป็นแบบไหน(Attitude) พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไร (Tone/Voice) ผู้เขียนกำลังพูดด้วยอารมณ์ โกรธ มีความสุข เศร้า เกลียด สับสน อยู่รึเปล่า


ทั้งหมดนี้สามารถหาคำตอบได้ ด้วยคำศัพท์ SAT กลุ่ม “Words to Capture Tone” คำศัพท์กลุ่มนี้ จะช่วยให้น้องๆเข้าใจความรู้สึกของผู้เขียนได้มากขึ้น รู้ว่าผู้เขียนกำลังถ่ายทอดอารมณ์แบบไหนออกมาให้ผู้อ่าน เหมือนกำลังเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้เขียนเลย


 

มาถึงตรงนี้ รู้สึกเห็นภาพ ข้อสอบ SAT READING กันมากขึ้นรึยัง พี่ๆ KPH หวังว่า Blog นี้ จะทำให้การเรียน SAT/ ติว SAT Reading ของน้องๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง และ รู้ว่าควรเริ่มที่จุดไหน


หน้าที่ของน้องๆ คือ ทำตัวเองให้คุ้นเคยกับข้อสอบ SAT READING ให้ได้มากที่สุด ฝึกฝนคำถามทุกประเภท ท่องคำศัพท์ทุกรุปแบบ เชื่อว่าการเรียน SAT/ติว SAT ของน้องๆ ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน พี่ๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ


สำหรับใครที่ยังไม่เห็นภาพ ละก็ เข้าไป Download ข้อสอบมานั่งดูทีละหน้าเลย


ส่วนใครไม่มั่นใจว่าจะเริ่มเรียน SAT/ ติว SAT ที่ไหนดี ก็อย่าลืมมาให้พี่ๆ KPH ช่วยวางแผนให้ รับรองว่าคอร์ส SAT ของ KPH จะไม่ทำให้น้องผิดหวัง อย่างแน่นอน พี่ๆยังมีเทคนิค ทำข้อสอบ SAT READING ดีๆ ให้น้องอีกเยอะ

ติดต่อมานะคะ

โทร : 064-954-7733

Line : @Krupimhouse


Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
  • Line
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
bottom of page