top of page

SAT vs IELTS! วางแผนสอบอย่างไรดี?


น้องๆทุกคนคงทราบดีว่าจะยื่นคะแนนเข้าคณะอินเตอร์ จุฬา หรือ ธรรมศาสตร์ แต่ละคณะ require คะแนนสอบหลายตัวมากๆ อย่างน้อยๆต้องมี


1. คะแนนสอบภาษาอังกฤษ

2. คะแนน SAT

คะแนนทดสอบภาษาอังกฤษ

ถ้าจะรับนักเรียนหนึ่งคนเข้ามาเรียนในคณะอินเตอร์ ทางคณะต้องมั่นใจแล้วว่า น้องสามารถเรียนในระบบภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น การวัดความรู้ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นอย่างมาก บางคณะ ใช้คะแนนสอบภาษาอังกฤษ เป็นแค่ตัวกำหนดว่าจะมีสิทธิ์ได้รับพิจารณาสมัครได้หรือไม่

ซึ่งคะแนนสอบที่เป็นที่ยอมรับ ก็มีหลาย choice มากๆ ทั้ง TOEFL, CU-TEP, TU-GET แต่เนื่องจากข้อสอบเหล่านี้ มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างเช่น TOEFL ก็ยากไป CU-TEP ก็ใช้ได้แค่จุฬา TU-GET ก็ใช้ได้แค่ธรรมศาสตร์ จึงทำให้ข้อสอบที่ hot hit ที่สุด ใช้ได้ทุกคณะ ทุกมหาลัย และไม่ยากเกินไป คือ IELTS นั่นเอง!

และด้วยความที่ จะเข้าอินเตอร์ที ต้องสอบหลายตัวมากๆ ต้องแบ่งเวลาให้กับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียนที่โรงเรียน เกรดก็ทำให้ดี IELTS ก็ต้องสอบ SAT ก็ต้องเอา ทำให้น้องหลายคน ไม่สามารถแบ่งเวลาได้ สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้าย สอบไม่ผ่านซักตัว!

ปัญหานี้ KRUPIMHOUSE เราเจอมาทุกปี!!

แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี?

 

SAT vs IELTS แตกต่างกันอย่างไร?

ก่อนจะวางแผนสอบเราต้องรู้จัก nature ของข้อสอบก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็สมัครสอบ ไม่ศึกษาอะไรก่อนเลย ข้อสอบสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร? จะขออธิบายคร่าวๆ ให้ฟังว่า

IELTS คือข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ! แค่ ENG อย่างเดียว! คะแนนเต็ม 9 ! ทดสอบทั้งหมด 4ทักษะ ด้วยกัน คือ Listening, Speaking, Reading, Writing (Essay) ข้อสอบอยู่ในระดับปานกลางถึงยาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของน้องๆ ทางคณะส่วนใหญ่จะต้องการคะแนน 6 ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้สอบติดแบบไม่ต้องลุ้นก็ควรได้ 7

SAT คือข้อสอบวัดระดับความรู้ MATH และ ENG! คะแนนเต็ม part ละ 800! รวมกัน 2 พาร์ทเต็ม 1600! ถ้าจะเข้าอินเตอร์ คะแนนค่อนข้าง vary ไปตามคณะที่น้องๆ อยากเข้า เช่น BBA-CHULA/ THAMMASART ก็ควรได้ 1300 ปลายๆ หรือ 1400 ต้นๆ ในส่วนของ MATH จะคลอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ ม.ต้น ไปจนถึง ม.ปลาย เล็กน้อยๆ ส่วน Eng นั้นจะมีทั้ง reading และ writing (Grammar).

 

SAT vs IELTS ใครยากกว่ากัน!

การเปรียบเทียบว่าใครยากกว่า จะขอเปรียบเทียบแค่วิชา ENG อย่างเดียว ในส่วนที่เป็น reading นั้น น้องทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า SAT ยากกว่ามากกกกกกกก! และด้วยความที่ SAT ยากกว่ามาก ทำให้คนที่ผ่านการสอบ SAT มาแล้ว กลายเป็น IELTS ง่ายไปเลยย!

ในส่วนของ Writing นั้น ใน SAT จะเป็นการ check Grammar แต่ในส่วนของ IELTS จะเป็นการเขียน essay ซึ่งเราก็สามารถใช้ grammar ที่ได้จากการสอบ SAT ไปเขียน Essay ในข้อสอบ IELTS ได้เช่นกัน

พิจารณา 2 พาร์ทนี้แล้ว SAT ดูเหมือนจะยากกว่า แต่หากพิจารณา พาร์ท Listening และ Speaking ใน IELTS เข้าไปแล้วละก็ น้องๆ ที่พื้นฐานด้านการพูดภาษาอังกฤษน้อย ก็จะมองว่า IELTS โคตรยากไปเลยย

สรุปว่า! ยากทั้งคู่ แต่ยากคนละแบบ! เตรียมตัวกันละแบบเกือบ 100%!

 

SAT vs IETLS ใครเปิดสอบบ่อยกว่า?

SAT เปิดสอบแค่ 4 รอบต่อปี! คือ มีนา, พฤษภา, ตุลา และ ธันวา

IELTS เปิดสอบตลอดปี แทบจะเปิดทุก 2 สัปดาห์

 

SAT vs IELTS คะแนนใครมาถึงก่อน?

SAT ใช้เวลา 18 วันกว่าจะได้คะแนนมา แถมการส่งคะแนนเป็นแบบ ออนไลน์ใช้เวลาการส่งคะแนนออนไลน์ให้ทางคณะอีก 10 กว่าวัน

IETLS ใช้เวลา13 วัน ได้รับคะแนนเป็น hardcopy ส่งตรงถึงบ้าน หรือไปรับคะแนนได้โดยตรงที่ทาง British Council หรือ IDP ได้เลย และสามารถเอาคะแนนที่ได้ไปยื่นให้ทางคณะได้โดยตรง

 

SAT vs IETLS เก็บคะแนนได้นานเท่าไหร่?

เก็บคะแนนได้นาน 2 ปี เหมือนกันท้ังคู่

 

SAT vs IETLS จะสอบตัวไหนก่อนดี?

เมื่อน้องๆ ทราบรายละเอียดทุกอย่างแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนแล้วว่าจะ จัดเวลาอ่านหนังสือ และเวลาสอบอย่างไรดี เพื่อให้น้องๆสอบผ่านได้ เร็วที่สุด! ซึ่งการที่น้องจะสอบผ่านแต่ละตัวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง พยายามเอาปัจจัยเหล่านั้นมาพิจารณารวมกัน

1. คะแนนที่อยากได้

อยากเข้าคณะอะไร? คำถามนี้ต้องมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพราะจะทำให้น้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน set เป้าหมายไว้ และอย่าเปลี่ยนบ่อย เพราะหากน้องเปลี่ยนเป้าหมายบ่อย จะทำให้น้องรวน สับสนเอง! เมื่อรู้คณะที่ตั้งเป้าไว้แล้ว หาว่าต้องได้คะแนนอย่างน้อยเท่าไหร่ พยายาม set คะแนนที่อยากได้ ให้มากกว่าคะแนนเฉลี่ยของปีที่แล้ว! เช่นปีที่แล้ว BBA จุฬา คะแนน SAT อยู่ที่ 1300 ปลายๆ ถึง 1400 ต้นๆ เพราะฉะนั้น ปีนี้น้องควรต้องได้คะแนนอยู่ใน range นี้นั่นเอง!

2. พื้นฐานที่น้องมี

เอาคะแนนที่ตั้งเป้าไว้ มาพิจารณากับพื้นฐานที่น้องมี พื้นฐานอ่อน พื้นฐานปานกลาง พื้นฐานดี ถ้าอ่อน อ่อนด้านไหน และ ถ้าดี ดีด้านใด เช่น อ่อน vocab แต่ listening พอได้ หรือ reading+Writing ได้ แต่ listening กับ speaking ไม่ได้เลย เป็นต้น เอาพื้นฐานที่น้องมีมาลองคิดดูว่า จะเลือกสอบตัวไหน ก่อนดี เพื่อให้น้องมีคะแนนอยู่ในมือ ครบทั้ง 2 ตัวได้เร็วที่สุด

เช่น พื้นฐานด้าน reading + Writing ค่อนข้างดี ไปสอบ SAT ก่อน หรือ listening กับ Speaking พอได้เพราะเคยอยู่ต่างประเทศมา แต่อ่อน grammar อาจจะไปสอบ IELTS ก่อนก็ได้

3..เวลาที่น้องเหลือ

เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะสอบตัวใดก่อน ให้กำหนดเวลาออกมาเลย อย่ามัวแต่สอบไปเรื่อยๆ ผ่านเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แล้วค่อยไปสอบอีกตัวนึง เช่น สอบ SAT ผ่านเมื่อไหร่ ก็ค่อยไปเอา IELTS ละกัน อย่าเด็ดขาด! กำหนดเวลาเลยว่าจะสอบ SAT ให้ผ่านเมื่อไหร่! ในระยะเวลากี่เดือน! หลังจากนั้นจะไปสอบ IELTS เป็นต้น!

ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่น้องเหลือนั่นเองหากใครเหลือเวลามาก ก็ให้เวลากับข้อสอบทั้งสองตัวได้เต็มที่ ค่อยๆเก็บไปทีละตัว แต่หากใครเวลาเหลือน้อยๆมากๆ อาจจะต้องสอบสองตัวพร้อมๆกัน ซึ่งต้องแบ่งเวลาให้ดี

4. จำนวนวิชาที่ต้องสอบ

นอกจากสองตัวนี้แล้ว ยังมีวิชาอีกอีกหรือไม่ สายวิศวะ สายสถาปัตย์ สายภาษา ทั้งหลาย มีตัวอื่นที่ต้องแบ่งเวลาไปอีกหรือเปล่า หากใช่ ตัวใดสำคัญที่สุด ให้ลองไปดู requirement ของทางคณะที่อยากเข้าว่า คะแนนตัวไหน weight เยอะสุด เปอร์เซนต์สูงสุด และจัดเวลาให้กับตัวนั้นมากที่สุดนั่นเอง

5. กิจกรรมที่ต้องทำ

ขึ้น ม.ปลาย กิจกรรมเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งกีฬาสี ทั้งไปแลกเปลี่ยน และอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนแลกเปลี่ยน ที่จะต้องเสียเวลาไปปีนึงเต็มๆ ลองวางแผนดูว่า เราจะเสียเวลาปีนึงไปแบบเปล่าประโยชน์หรือไม่ เราจะเตรียมตัวสอบอย่างไร เพื่อที่เวลาน้องกลับมาไทย แล้วจะไม่กระวนกระวาย เตรียมสอบไม่ทัน เช่น สอบ SAT ที่ไทยไว้ก่อนล่วงหน้าเลยมั้ย คะแนนเก็บได้ 2 ปี กลับมาทันใช้พอดี หรือ จะไปสอบที่ต่างประเทศดี หรือ ใช้เวลาอยู่ต่างประเทศเตรียมตัวอ่านหนังสือให้พร้อม แล้วกลับมาปั๊ปสอบปุ๊ป ครั้งเดียวเอาให้ผ่านเลย ก็ได้เช่นกัน

คนที่วางแผนได้ดีที่สุด คือ ตัวน้องเอง เพราะตัวน้องเอง จะรู้นิสัย ตัวเองดีที่สุด!!

และแผนที่วางไว้จะสำเร็จ ขึ้นอยู่กับ ตัวน้องเอง เช่นกัน! ที่จะทำตามที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่!

 

KRUPIMHOUSE หวังว่า น้องๆ ที่ได้อ่านบทความนี้ จะเห็นภาพมากขึ้น ลองนำไปปรับใช้ ลองคิดดูว่าที่ตัวเองทำอยู่นั้น ดูสับสน วุ่นวาย จับต้นชนปลาย ไม่ถูกหรือปล่าว สอบไปหมดทุกตัว เตรียมทุกวิชา แต่ก็ยังไม่ผ่านเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อยู่รึเปล่า ถ้าใช่ รีบวางแผนใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป หากวางแผนแล้ว รู้สึกไม่เวิค ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ ให้รีบเปลี่ยนซะ ปรับแผนตามสถานการณ์ เพื่อให้น้องๆ สอบผ่าน มีคะแนนตามที่ตั้งเป้าไว้ทุกจ้าาาา

 

Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
  • Line
  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
bottom of page